งานชิ้นที่ 3 น.ส. ณัฐวดี มีเบ้า เลขที่ 35

งานที่ 3 ให้นักเรียนสืบค้นประวัติของ CPU ว่ามีที่มาอย่างไร 
วิวัฒนาการจากอดีตจนถึงปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์แบบไหนบ้าง

ประวัติความเป็นมาของ CPU ตระกูล Intel

ซีพียูรุ่น 8086 เป็นซีพียูของอินเทลที่ทำงานแบบ 16 บิตแบบสมบูรณ์ เพราะทั้งสถาปัตยกรรม ภายในและภายนอกเป็นแบบ 16 บิตอย่างแท้จริง ต่างจาก 8088 ที่สถาปัตยกรรมภายในเป็น ระบบประมวลผลแบบ 16 บิต แต่สถาปัตยกรรมภายนอกที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับดาต้าบัส เพื่อ รับส่งข้อมูลเป็นแบบ 8 บิต  
Intel 80286 (1982)
      ในปี ค.ศ. 1982 อินเทลก็ได้ผลิตซีพียูรุ่น 80286 ที่มีความเร็วเพียงแค่ 6 เมกิเฮิรตช์ ซึ่งบัสของ80286 เป็นแบบ 16 บิต ภายในมีทรานซิลเตอร์บรรจุอยู่ประมาณ 130 , 000 ตัว จึงเป็นเหตุให้เกิด ความร้อนสูงในขณะทำงาน ดังนั้นจึงต้องมีการติดตั้งพัดลมและแผ่นระบายความร้อน ( Heat Sink )

          ผลิตออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1985 ด้วยความเร็ว 16 เมกะเฮิรตซ์ เป็นซีพียูที่มีขนาดของบัสข้อมูล 16บิต แต่มีขีดความสามารถและความเร็วสูงกว่า 80826 มีทรานซิสเตอร์ภายใน 250 , 000 ตัว สถาปัตยกรรมภายในเป็นระบบประมวลผลแบบ 32 บิต แต่สถาปัตยกรรมภายนอกที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับดาต้าบัสเพื่อรับ – ส่งข้อมูลจะเป็นแบบ 16 บิต โดย 80386 SX มีความเร็วตั้งแต่ 16 , 50 , 25 , และ 33เมกะเฮิรตซ์
Intel 80486SX/ 80486 DX (1989-1994)
          ซีพียูรุ่น 80486 มีความเร็วตั้งแต่ 20 , 25 , และ 33 เมกะเฮิรตซ์ ทำงานแบบ 32 บิต และมีแคช ภายใน ( Intel Cache ) ทำสามารถทำงานได้เร็วกว่ารุ่น 80386 ที่จำนวนของสัญญาณนาฬิกา เท่ากัน โดยในรุ่น 80486 SX ยังไม่มี Math Coprocess รวมอยู่ในซีพียู ต่อมาทางอินเทลก็ได้ออกเครื่องรุ่น80486 DX มีความเร็วตั้งแต่ 50 , 66 , 100 เมกะเฮิรตซ์ เป็นซีพียูที่มีขีดความสามารถสูงขึ้นทั้งด้านความเร็วในการคำนวณและเทคโนโลยีโดยการรวม เอา Math Coprocessor และ แคชมารวมอยู่ในชิปเดียวกันกับซีพียู

INTEL PENTIUM
อินเทลเพนเทียม Intel Pentium (1993-1998)
          ในช่วงแรกได้ผลิตออกมาที่ความเร็ว 60 และ66 เมกะเฮิรตซ์ อีกไม่นานนักอินเทลก็ได้ ผลิตความเร็วสูงขึ้นอีกเป็น 75 และ 90 เมกิเฮิรตซ์ ซึ่งมีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากรุ่นแรกๆ และยังสามารถพัฒนาความเร็วไปได้อีกคือ 100 , 13 , 150 และ 166 เมกะเฮิรตซ์ เป็นซีพียูที่มีขีด ความสามารถสูงขั้นทั้งทางด้านความเร็วและเทคโนโลยี มีแคชภายในมากขึ้น และมี ความสามารถในการทำงานกับเลขทศนิยมได้ดีขึ้น และมีความสามารถในการทำงานกับเลข ทศนิยมได้ดีขึ้นโดยรุ่นแรกๆนั้นมีทรานซิสเตอร์ล้านกว่าตัว จึงทำให้มีความร้อนสูงมาก

PENTIUM II
          Pentium ll เป็นซีพียูที่ประกอบไปด้วยเทคโนโลยีของ Pentium Pro ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีMMX ที่ใช้สถาปัตยกรรมการทำงานแบบใหม่ที่เรียกว่า “Single InstructionMultiple Data (SIMD)” ซึ่งได้มีการปรับโครงสร้างสถาปัตยกรรมภายในซิปถึง 70 จุด เพื่อเร่งความเร็วในการ ทำงานแบบ 64 บิต และยังมีการเพิ่มชุดคำสั่งเข้าไปอีก 70 คำสั่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ ประมวลผลงานด้าน 3 มิติ

เพนเทียมทูคลาเมธ Pentium II Klamath
            คือชิปรุ่นต่อมาซึ่งถูกพัฒนาความสามารถให้สูงขึ้น Pentium II Klamath เป็นชิปตัวแรก ในตลาด ที่เปลี่ยนจากอินเอตร์เฟซแบบซ็อกเกตมาเป็นสล็อตแทน ซีพียูเพนเทียมทูคลาเมธ มี ความเร็วเริ่มตั้งแต่ 233-300 MHz . ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.35 ไมครอน มีสถาปัตยกรรม แบบ SECC (Single Eade Contact Cartridge) ซึ่งมีลักษณะเป็นการ์ดที่ใช้กับ Slot 1 มีแคช ระดับสองติดตั้งอยู่บนการ์ดซีพียู ทำงานที่ความเร็วบัส 66 MHz ใช้ไฟเลี้ยง 2.0 โวลด์
เพนเทียมทูเดสชู๊ตส์ ( Pentium II Deschutes )
     ซีพียูในรุ่นนี้เป็นการพัฒนาในส่วนของแกนซีพียูให้สามารถทำงานได้ที่ความเร็วสูงขึ้น โดย การลดขนาดการผลิตลงจาก 0.35 มาเป็น 0.25 ไมครอน และเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีการ ผลิตที่เล็กลง ทำให้ลดการใช้ไฟเลี้ยงซีพียูน้อยลงอีกด้วย ซึ่งจะช่วยลดความร้อนบนแกนซีพียู
เนื่องจากชิปแคชระดับสองที่ใช้กับซีพียูคลาเมธนั้น ถูกออกแบบให้สามารถรองรับการทำงานที่ความเร็วประมาณ 300 MHz เท่านั้น แต่ในการผลิตซีพียูในรุ่นเดสชู๊ตนี้ สามารถรองรับความเร็วได้ถึง 450 MHzทำให้แคชระดับสองจะต้องทำงานที่ความเร็วสูงถึง 225 MHz

CELERON
         อินเทลได้นำเอาซีพียูเพนเทียมทูในรุ่นคลาเมธมาทำการตัดเอาส่วนของหน่วยความ จำแคช ระดับสองออก เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงทำให้ซีพียูเซเลอรอนมีสถาปัตยกรรม ภายในแบบเดียวกับเพนเทียมทู เพียงแต่ซีพียูเซลเลอรอนจะไม่มีหน่วยความจำแคชระดับสอง เท่านั้น การที่Celeron สนันสนุนMMX การโอนถ่ายข้อมูลมัลติมีเดียได้ด้วยความเร็วสูง แต่ ความสามารถของมันก็ไม่ได้เร็วอย่างที่คาดไว้ เพราะ แคชที่มีเพียง 32 K กับบัส ที่ความเร็ว 66 MHz ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก และให้ชื่อรหัสการพัฒนาในรุ่นนี้ว่าโควินตัน ( Covignton )

เซลเลอรอนโควินตัน( Covington ) 
        ซีพียูโควินตันจะมีด้วยกัน 2 รุ่นคือ รุ่นความเร็ว 266 และ 300 MHz ใช้เทคโนโลยีการ ผลิตขนาด0.35 ไมครอน ส่วนของชิปจะถูกติดตั้งบนแผงวงจรขนาดเล็กที่เรียกว่า SECC ในเพ นเทียมทู แต่ในตระกูลเซลเลอรอนจะเรียกแผงวงจรดังกล่าวว่า SEPP (Single Edge Processor Packege) แทน ซึ่งจะใช้ติดตั้งบนเมนบอร์ดแบบ Slot 1 เช่นเดียวกัน และแผงวงจร SEPP ก็จะ ถูกบรรจุอยู่ในพลาสติกสีดำคล้ายตลับเกม

เซลเลอรอนเมนโดชิโน ( Mendocino ) 
         ซีพียูในรุ่นนี้จีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับเพนเทียมทูรุ่นรหัส Deschutes คือใช้ เทคโนโลยีการผลิตขนาด 02.5 ไมครอน ซึ่งเป็นเทคโนโบยีการผลิตซีพียูที่มีขนาดเล็กกว่าเซล เลอรอนโควินตันที่ใช้0.35 ไมครอน และที่สำคัญยังด้เพิ่มส่วนของหน่วยความจำแคชระดับ สองเข้าไปบนตัวชิปซีพียูอีก 128 KB โดยแคชจะทำงานที่ความเร็วเดียวกับซีพียู จะเป็นว่า หน่วยความจำแคชระดับสองของเมนโดชิโนจะมีขนาดเล็กกว่าเพนเทียมทูซึ่งมีขนาด 512 KB แต่ แคชระดับสองเมนโดชิโนจะทำงานเร็วกว่า แคชของเพนเทียมทู ซึ่งมีความเร็วเพียง ครึ่งหนึ่งของซีพียูเท่านั้น โดยซีพียูในรุ่นนี้จะเริ่มที่ความเร็ว 300 -433 MHz และถูกติดตั้งบน แผงวงจรขนาดเล็กที่เรียกว่า SEPP
ซีพียูเซลเลอรอน PPGA Socket 370
          เพื่อเป็นการลดต้นทุนอินเทลจึงได้ออกแบบ PPGA ซึ่งมีต้นทุนที่ถูกกว่าแบบ Slot 1 สำหรับ ซีพียูเซลเลอรอนแบบ PPGA Socket 370 นี้ ยังคงมีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับเมนโดชิโนที่ใช้ เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.25 ไมครอน กับแคชระดับสองขนาด 128 KB ซึ่งทำงานที่ ความเร็วเดียวกับซีพียู มีความเร็วตั้งแต่ 300 – 533 MHz

ซีพียูเพนเยมทรีแคทไม Pentium III Katmai
        ป็นซีพียูที่มีความเร็วเริ่มต้นที่ 450 MHz ไปจนถึง 620 MHz ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด0.25ไมครอน มีทรานซิสเตอร์จำนวน 28 ล้านตัว ใช้สถาปัตยกรรมแบบ SECC 2 (Single Edge Contact Cartridge 2 )

PENTIUM III
          ซีพียูเพนเทียมทรีเป็นซีพียูที่ได้ทำการเพิ่มชุดคำสั่ง Streaming SIMD Extension :SSE เข้าไป70 คำสั่ง ซึ่งมีหน้าที่เร่งความเร็วให้กับการประมวลผลข้อมูลที่เป็นภาพ 3 มิติ พร้อมกับการเปลี่ยน หน่วยความจำแคชระดับสองให้เร็วขึ้นคือ จาก5.5 ns มาเป็น 4 ns ซึ่งในรุ่นแรกนี้ใช้ชื่อรหัสว่า แคทไม Katmaiและยังคงใช้เทคโนโลยีซีพียูแบบ Slot 1 เช่นเดียวกับเพนเทียมทู ต่อมาทางอินเทลได้ผลิตซีพียูเพนเทียมทรีออกมาใหม่คือ Coppermine ซึ่งมี รูปแบบซีพียูแบบ Slot 1 เช่นกัน

Pentuim III Coppermine
         ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 0.18 ไมครอน มีทรานซิสเตอร์จำนวน 28 ล้านตัว ซีพียูมีแพ็คเกจแบบ SECC2 และลดขนาดของหน่วยความจำแคชระดับสองลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งคือ 256 KB แต่เป็น หน่วยความจำแคชที่สร้างบนชิปซีพียูซึ่งทำงานที่ความเร็วเดียวกับซีพียู เท่ากับว่าแคชของซีพียูคอปเปอร์ไมน์ทำงานเร็วเป็น 2 เท่า ของซีพียูแคทไม โดยหน่วยความจำแคชระดับสองนี้จะใช้ เทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Advanced Transfer Cache: ATC

Pentium 4 
          เพนเทียมโฟร์ Pentium 4 เป็นรุ่นที่ค่อนข้างจะมีความเร็วผิดจากที่คาดไว้ และมี Cache น้อย อย่างไรก็ดี ชิปชุดนี้ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมการ ออกแบบที่ใหม่ทั้งหมด ระบบไปป์ไลน์ 20 ขั้น ต่อมาได้ชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า Intel Pentium Processor ที่จะมาแทนที่Pentium III จะออกสู่ตลาดด้วยความเร็วเริ่มต้นที่ 1.4 GHz 1.5 GHz ภายใต้สถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดที่ชื่อ Intel NetBurst micro - architecture นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มชุดคำสั่งใหม่ SSE 2 เข้าไปอีก 144 ชุดคำสั่ง
เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาขึ้นใน Pentium 4
1. Intel NetBurst micro – architecture เป็น สถาปัตยกรรมแบบใหม่ล่าสุดที่ช่วยให้สามารถ เร่งความเร็วของสัญญาณนาฬิกาให้ทำงานได้ที่ความถี่สูงๆ และเป็นจุดกำเนิดเทคโนโลยีใหม่ ๆอีก หลายอย่าง ที่ช่วยให้ Pentium 4 มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. Hyper Pipelined Technology เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ Pentium 4 สามารถทำงานตามคำสั่งซอฟต์แวร์ใน Pipeline ได้สูงถึง 20 ขั้นตอน รวมถึงการรองรับความเร็วสัญญาณนาฬิกาที่ความเร็ว 1.5และ 1.4 GHz
3. Rapid Execution Engine เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ซีพียู Pentium 4 มีความเร็วของบัสระบบ สูงถึง400 MHz ซึ่งจะช่วยให้ซีพียูสามารถรับส่งข้อมูลระหว่างซีพียูและอุปกรณ์อื่นๆเร็วขึ้น รวมถึงการรับส่งข้อมูลกับหน่วยความจำ Rambus ก็มีประสิทธิภาพขึ้นด้วย
4. Streaming SIMD Extensions 2 (SSE2) เป็นเทคโนโลยีชุดคำสั่งพิเศษที่พัฒนาต่อจาก SSE ซึ่งได้บรรจุคำสั่งใหม่เพิ่มเข้าไปอีก 144 คำสั่ง จากคำสั่งที่มีอยู่เดิมใน MMX และ SSE ซึ่ง ประกอบด้วยคำสั่งที่จัดการกับข้อมูลแบบจำนวนเต็มและทศนิยม อีกทั้งขยายขนาดของ SIMD Integer จากเดิม 64 บิต ที่ใช้กับเทคโนโลยี MMX มาเป็น 128 บิต ที่ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพ อัตรากรรคำนวณสำหรับ SIMD Integer เป็น 2 เท่า
5. Execution Trace Cache เป็น ตัวถอดรหัสเพื่อแปลความหมายของคำสั่งที่ได้รับจากแรม พร้อมกับจัดเก็บคำสั่งที่ผ่านการถอดรหัสเรียบร้อยแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ซีพียูมีการเรียกคำสั่งบางคำสั่งที่ อาจซ้ำกับคำสั่งที่มีอยู่ใน Trace Cache ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาถอดรหัสซ้ำอีก
6. Advanced Trace Cache เป็นหน่วยความจำแคชระดับ 2 ขนาด 256 KB ที่ติดตั้งอยู่บน Die ของแผ่นซิลิกอน ที่ทำงานด้วยความเร็วเดียวกับซีพียู ซึ่งเทคโนโลยีนี้ใช้มาตั้งแต่ซีพียู Pentium III แล้ว แต่ได้ทากรขยายช่องทางการส่งข้อมูลระหว่างซีพียูกับแคชเพิ่มจากเดิมที่มีขนาด 64 ไบต์ ขณะที่ Pentium 4 มีขนาด 128 ไบต์ ทำให้มีการรับส่งข้อมูลได้สูงกว่ามาก
7. Advanced Dynamic Execution ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘Speculative Execution' ซึ่งเป็น กระบวนการทำงานคำสั่งใดๆ เสร็จเพียงครึ่งทางก่อน แล้วรอดูว่ามีคำสั่งไหนที่ต้องการใช้ใน ขั้นต่อไป โดย Pentium 4 สามารถมองเห็นคำสั่งได้ 126 คำสั่ง ในแต่ละเที่ยว และโหลดคำสั่ง ได้ 48 คำสั่ง และเก็บคำสั่งไว้ใน Pipeline ได้ 24 คำสั่ง ช่วยลดจำนวนโครงข่ายที่เป็นสาเหตุให้ เกิดการทำนายผิดพลาดลง 33 %
8. Enhanced Floating Point/ Multimedia ซีพียู Pentium 4 ได้ขยายส่วนของการคำนวณFloating Point Register ให้กว้างถึง 128 บิต เพื่อให้การคำนวณเลขทศนิยมมีความรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้สามารถทำงานกับโปรแกรมด้านมัลติมีเดียได้ดี

Pentuim 4 90 นาโนเมตร
           เป็นโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 90 นาโนเมตรเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในวงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่อินเทลนำมาใช้เป็นพิเศษสำหรับผลิตชิปบน เวเฟอร์ ขนาด300 มิลลิเมตร เทคโนโลยีการผลิตใหม่นี้ประกอบด้วยทรานซิลเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและกินไปต่ำลง สเตรนซิลิคอน( strained silicon ) อินคอนเน็ค ความเร็วสูงที่ทำจากทองแดง( high – speed copper intercon - nects ) และวัสดุใหม่แบบ ( low – k dielectric ) ยังคงมีเทคโนโลยีไฮเปอร์ – เธรดดิ่ง ที่ช่วยการทำงานแบบมัลติทาสก์กิ้งอยู่เช่นเดิม และมี คุณสมบัติใหม่ๆเพิ่มเติม เช่น Enhanced Intel Micro-architecture แคช L2 มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 1 เมกะไบต์ และมีชุดคำสั่งเพิ่มขึ้นอีก 13 ชุด โปรเซสเซอร์ของอินเทลรุ่นต่างๆ ที่มีเทคโนโลยี ไฮเปอร์ – เธรดดิ่ง

ซีพียูตระกูล Pentium D 
             960, 950, 945, 940, 930, 925, 920, 915, 840, 830, 820, 805  CPU Dual-core มีความเร็วตั้งแต่ 2.8 - 3.60GHz มี Cache L2 ตั้งแต่ 2 - 4MB มี FSB 800MHz ไม่มี Hyper-Threading มีระบบประหยัดพลังงาน Intel SpeedStep (ยกเว้น PentiumD820,805) รองรับ EM64T มีเทคโนโลยีป้องกันการโจมตีของไวรัส ใช้การผลิตแบบ 90 และ 65นาโนเมตร บน LGA775 

ซีพียูตระกูล  Pentium  Extreme
                      965, 955, 840  CPU Dual-core มีความเร็วตั้งแต่ 3.20 - 3.73GHz มี Cache L2 ตั้งแต่ 2 - 4MB มี FSBตั้งแต่ 800 - 1066MHz มีเทคโนโลยี Hyper-Threading ไม่มีระบบประหยัดพลังงาน รองรับ EM64T มีเทคโนโลยีป้องกันการโจมตีของไวรัส ใช้การผลิตแบบ 90 และ 65นาโนเมตร บน LGA775 

ซีพียูตระกูล   Core 2 Duo
                       E6700, E6600, E6400, E6300, E7600, E7500, E7400, E7300, E7200, E8600, E8500, E8400  CPU Dual-core มีความเร็วตั้งแต่ 1.86 – 3.33GHz มี Cache L2 ตั้งแต่ 2 - 4MB  FSB ตั้งแต่ 1333 - 1066MHz ไม่มีHyper-Threading มีระบบประหยัดพลังงาน Intel SpeedStep รองรับ EM64T มีเทคโนโลยีป้องกันการโจมตีของไวรัส ใช้การผลิตแบบ 45นาโนเมตร บน LGA775 

ซีพียูตระกูล  Core 2 Quad
                       โปรเซสเซอร์ Intel® Core™2 Quad ซึ่งมีพื้นฐานจากการปฏิวัติทางนวัตกรรมของ Intel® Core™ microarchitecture มอบหน่วยประมวลผลสี่แกนหลักในโปรเซสเซอร์ตัวเดียว นำมาซึ่งประสิทธิภาพและการตอบสนองที่รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับการใช้งานแบบมัลติเธรดและมัลติทาสกิ้งในสภาพแวดล้อมการทำงานที่บ้านและในสำนักงานเวอร์ชั่นล่าสุดของโปรเซสเซอร์นี้สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีการผลิต 45nmของ Intel ที่จะนำประโยชน์ที่แตกต่างมากให้กับคุณ เทคโนโลยีนี้ใช้ทรานซิสเตอร์ hafnium-infused Hi-k ซึ่งช่วยให้โปรเซสเซอร์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยการเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์เป็นสองเท่า เป็นการช่วยเพิ่มสมรรถนะและความเร็วเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า และช่วยเพิ่มขนาดแคชเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 50เปอร์เซ็นต์ เทคโนโลยีการผลิต 45nm ของ Intel ช่วยให้โปรเซสเซอร์ Intel Core 2 Duo มอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่าโดยไม่ได้ใช้พลังงานมากขึ้น โปรเซสเซอร์ Intel® quad-core นี้เป็นตัวแทนของความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องของ Intel และเป็นการช่วยผลักดันการใช้งานหน่วยประมวลผลแบบมัลติคอร์

ซีพียูตระกูล  Core 2 Extreme 
       CPU Dual-core ความเร็ว 2.93GHz มี Cache L2 ขนาดใหญ่ถึง 4MB FSB 1066MHz ไม่มี Hyper-Threading มีระบบประหยัดพลังงาน Intel SpeedStep รองรับ EM64T มีเทคโนโลยีป้องกันการโจมตีของไวรัส ใช้การผลิตแบบ 45 นาโนเมตร บน LGA775 

ซีพียูตระกูล Core i3
Core i3 นั้นมีใช้เทคโนโลยีใหม่ของ Intel Geaphics MediaAccelerator HD เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการใช้งานที่สูงสุด โดย Funtion ตัวนี้ทำให้เล่น VDO ในระดับ HD ให้ราบรื่นที่สุดและความสามารถในด้านการใช้งานของ 3Dเพื่อให้ไม่ขัดใจในการที่เราจะทำงานและยังมี Techology ใหม่ของ Intel ก็คือ Intel Hyper-Threading Techologyเพื่อให้การประมวลผล 2 Threads/1Core เพื่อรีดประสิทธิภาพของ CPU ออกมาให้ได้มากที่สุด ทำให้แต่ละ Coreของ Processor ทำงาน2งานได้เวลาเดียวกัน

ซีพียูตระกูล Core i5
 
ประสิทธิภาพเหลือเชื่อและ สุดยอดการแสดงผลภาพพร้อม ขุมพลังที่เพิ่มขึ้นสูงสุดยกระดับประสบการณ์ด้านพีซีของคุณด้วยภาพสดใสคมชัดและ การเร่งความเร็วอัตโนมัติในเวลาที่คุณต้องการหน่วยประมวลผลกลาง Intel® Core™ i5 เจนเนอเรชั่น 4 ให้ประสิทธิภาพที่เหลือเชื่อ และระบบความปลอดภัยในตัวเพื่อการปกป้องที่ล้ำลึกยิ่งกว่า พบกับความน่าตื่นตาตื่นใจของการเพิ่มความเร็วให้อัตโนมัติเมื่อคุณต้องการ ด้วยเทคโนโลยี Intel® Turbo Boost 2.01 สัมผัสภาพยนตร์ ภาพถ่ายและเกมอย่างราบรื่นไม่มีสะดุดด้วยชุดประสิทธิภาพกราฟิกในตัวอันทรงพลัง3—และเพลิดเพลินได้เต็มที่ด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่า

ซีพียู Core i7
เป็น ซีพียูภายใต้แบรนด์ใหม่ในชื่อ Core i7 ที่ใช้รหัสการผลิตว่า Nehalem หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมแบบใหม่ด้วยโครงสร้างทั้งภาย ในและภายนอกที่ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปมาก เช่น การย้ายเอาส่วนควบคุมหน่วยความจำ เป็นต้น
ซีพียู Core i7 Extreme
Core i7 Extreme (Bloomfield-45 nm) มีความเร็วสูงสุด 3.2 GHz ในรุ่น LGA1366ทำงานด้วย FSB 800/1066/1333/1600MHz มี L2 Cache ขนาด 8 MB ค่า TDP สูงสุด 130 W


ประวัติความเป็นมาของ CPU ตระกูล  Advanced Micro Device. (AMD) 

แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์, Inc. หรือ เอเอ็มดี เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งเมื่อ ปี ค.ศ. 1969 โดยพนักงานเก่าจากบริษัท Fairchild Semiconductor โดย เอเอ็มดี ผลิตสินค้าเกี่ยวกับ เซมิคอนดัคเตอร์ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเป็นผู้พัฒนา ซีพียู และเทคโนโลยีต่างๆ ออกสู่ตลาด และ ผู้ใช่ทั่วไป.โดยที่สินค้าหลักของบริษัทคือ ไมโครโพรเซสเซอร์,เมนบอร์ดชิปเซ็ต,การ์ดแสดงผล,ระบบฟังตัว สำหรับคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์,คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และ ระบบฝังตัวต่าง โดยที่ผลิตภัณฑ์ของเอเอ็มดีที่เป็นที่รู้จักได้แก่ไมโครโพรเซสเซอร์ตระกูล APU,Phenom II,Athlon IISempronบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล APU Mobile,DuronTurion,ในคอมพิวเตอร์แบบพกพา Opteronสำหรับเซิร์ฟเวอร์ และชิปกราฟิก Readeon
เอเอ็มดี เป็นผู้ผลิตอันดับ ในตลาดของไมโครโพรเซสเซอร์ ที่มีพื้นฐานอยู่บน x86 อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิปกราฟิกการ์ดรายใหญ่ของโลก และ ยังผลิตหน่วยความจำแบบแฟลช โดยในปี 2010 AMD เป็นผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ อันดับที่ 12 ของโลก
เอเอ็มดีนับเป็นคู่แข่งที่สำคัญของอินเทลในตลาดไมโครโพรเซสเซอร์ และมีคดีความฟ้องร้องกันอยู่ในหลายประเทศ เรื่องอินเทลผูกขาดการค้า ปัจจุบันได้ทำการยอมความกันไปแล้ว

ตระกูลชิปประมวลที่เลิกผลิตไปแล้ว
- AMD 286 386 486 586
ซีพียูรุ่นเหล่านี้ ยกเว้น 586 แล้ว ล้วนเป็นการผลิตด้วยสิทธิ์ที่ได้จากทาง INTELทั้งสิ้นจึงไม่มีข้อแตกต่างจากข้อง INTEL เลย เว้นแต่ความเร็วสูงสุดจะเร็วกว่าข้องทาง INTEL อยู่หนึ่งระดับเท่านั้นเนื่องจากมักจะเลิกผลิตที่หลังนั้นเอง คือมี286/20 MHz (INTEL 16MHz) 386/40MHz (INTEL 33 MHz) แต่จะมี586/133เท่านั้นที่ ส่วนที่ตั้งชื่อว่า 586 เพราะ INTEL ได้ออก Pentiumมาแล้ว ซึ่งความจริง586 ก็คือ 486 ที่ทำงานที่133 MHz (33 คูณ 4) นั้นเอง
- K5
K5 เป็นซีพียูรุ่นแรกของ AMD ที่เทียบเท่ากันกับ Pentium ของ Intel ประสิทธิภาพของ K5 จะใกล้เคียงกับPentium ทั้งนี้ AMD ไม่ใช้ความถี่ของสัญญาณนาฬิกาเป็นชื่อของรุ่น เปลี่ยนไปใช้คำว่า PR ตามด้วยความเร็วของ Pentium ที่ซีพียูรุ่นนั้น ๆ เทียบเคียงด้วย เนื่องจาก K5 ใช้ความถี่ต่ำกว่า แต่ถ้าเทียบกันแล้วจะสามารถทำงานได้เร็วกว่า Pentium ซึ่งใช้ความถี่เดียวกัน ดังนั้นการใช้คำว่า PR (คือ Pentium Rate) จะให้ผลที่ดีกว่าในทางการตลาด ผู้ซื้อจะได้ไม่รู้สึกว่าซื้อของที่แย่กว่า ซีพียูรุ่นนี้มี 2 รุ่นย่อยคือPR 90 กับ PR 100ที่เมื่อแรกออกมายังมีปัญหาค่อนข้างมาก ต่อมาได้ปรับปรุงใหม่
- K6
เป็นซีพียูรุ่นแรกในการพัฒนาการของซีพียูในรุ่นที่ 6 ของ AMDและได้ใส่ ความสามารถMMX เข้าไปด้วย ทำให้เมื่อเทียบชั้นกับPentium รุ่นที่เป็น MMX แล้ว เหนือกว่าเล็กน้อยโดยผ่ายนอกยังคงใช้บัส 66 MHzและแคชขนาด 256 KB ถึง 1MB แต่ความถี่สัญญาณนาฬิกาที่ใช้เพิ่มขึ้นเป็น 166, 200, 233 และ 266 MHz
ตามลำดับ ส่วนเมนบอร์ด ซ็อคเก็ต และชิพเซ็ตจะใช้เหมือนกับ Pentium ทุกประกา
- AMD K6-2
ซีพียูรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ AMD ได้ใส่ชุดคำสั่ง 3Dnow! เข้าไปใน K6 เพื่อเพิ่มประสิทธิ์ภาพในการประมวลผลคำสั่งที่มีข้อมูลมาก เช่นการคำนวณทางด้านสามมิติ โดยการเพิ่มจากชุดคำสั่ง MMX (ที่คอมเพตติเบิลกับของ INTEL) ซึ่งมีอยู่แล้วใน K6 นอกจากนี้ยังใช้บัส100 MHz และใช้ซ็อคเก็ต แบบ Socket 7 หรือSuper 7 แต่อย่างไรก็ตาม K6-2 ยังใช้ แคชระดับสองอยู่ ภายนอกซีพียู โดยมีขนาด 512 KB 1 MB หรือ 2 MB ซึ่งต้องทำงานที่ความเร็วกับบัสภายนอก ทำให้ไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หลังจากนั้นไม่นานAMD ได้ออก K6-3 ที่มีแคชระดับสองอยู่ในตัว ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น แต่ K6-2 ก็ยังคงมีอยู่มากมายหลายรุ่น ซึ่งราคาถูกมากๆ เหมาะสำหรับผู้ต้องการเริ่มต้นซื้อเครื่องที่ลงทุนน้อยแต่ได้คุณภาพสูงพอสมควร ความเร็วของ ซีพียู รุ่นนี้มีตั้งแต่ 300 MHz ขึ้นไปจนถึง 475 MHz ซีพียูรุ่นนี้แม้จะมีความเร็วในระดับของ Pentium II แต่ก็ยังคงใช้เมนบอร์ดและซ็อคเก็ตแบบเดียวกับ Pentium ธรรมดา (Socket 7)เนื่องจากบัสและแคชมีโครงสร้างแบบเดียวกัน คืออยู่ภายนอกและทำงานที่ 100 MHzทำให้ประสิทธิภาพขึ้นไปเทียบกับ Pentium II ไม่ได้ (แคชทำงานช้ากว่า)จนกระทั่งมี K6-3 ที่มีแคชระดับสองอยู่ภายในออกมา
- AMD K6-3
ซีพียูรุ่นนี้เป็นการนำเอารุ่นเดิมคือ K6-2 มาเพิ่มแคชระดับสองขนาด 256 K เข้าไปในชิปและเพิ่มความสามารถในการรองรับแคชระดับสามที่อยู่ภายนอก (บนเมนบอร์ด) ได้อีกด้วย ทั้งขนาด 512 KB,1 MB,2MB ส่วนแคชระดับหนึ่งมี 32 KB แบบสองทาง บัสที่ใช้ในความถี่ 100 MHz ใช้ซ็อคเก็ตแบบ Super 7 และมีชุดคำสั่ง MMX 3DNow! เช่นเดียวกับ K6-2 ประสิทธิภาพที่ได้ใกล้เคียงกับ Pentium II ที่ใช้ความถี่เท่ากัน

- AMD Athlon (Classic)
โครงสร้างที่ล้ำสมัยกว่า และมีความเร็ว ในทุกๆ ด้านเหนือกว่าซีพียูที่ Intel ที่อยู่ให้ท้องตลาด ณ ขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านของหน่วยประมวลผลเลข Floating point ซึ่ง AMD ไม่เคยทำได้เร็วเท่าของIntel เลยแต่คราวนี้ก็ล้ำนำหน้าไปแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนราคาก็ยังคงต่ำกว่าของ Intel อยู่เสมอเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นอื่นๆ ของ Intel ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน Athlon มีความเร็วเริ่มต้นที่ 500 MHz ซึ่งเริ่มแรกเมื่อออกสู่ตลาดจะมีรุ่น 500,550, และ 600 จนถึง 850 MHz แล้ว ซึ่ง Athlon รุ่นแรกๆ จะผลิตโดยใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 0.25 ไมครอน ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบตลับ SECC และใช้เทคโนโลยีระบบบัสแบบEV6 ซึ่งสามารถทำงานทั้งขอบขาขึ้นและลงของสัญญาณนาฬิกาความถี่ 100 MHz จึงเสมือนว่าทำงานที่ระบบบัส 200MHz พร้อมทั้งมีคำสั่ง MMX และ 3DNow! ที่มีการปรับปรุงใหม่ให้มีประสิทธิ์ภาพในการทำงานด้านสามมิติที่ดีขึ้นโดยมีหน่วยความจำแคชรระดับ 1จำนวน 64+64KB และแคชระดับ 2 จำนวน512KB อยู่บนตัวซีพียูแต่ทำงานที่ความเร็วครึ่งหนึ่งของซีพียู แต่ในรุ่นหลังซึ่งมีความถี่สูงขึ้นก็ได้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตไปเป็น 0.18 ไมครอน เหมือนกับที่ Intel เช่นเดียวกับที่ใช้ใน Pentium III ซีพียูรุ่น Athlon ของ AMD เป็นที่ฮือฮามากตั้งแต่เมื่อปลายปี1999เนื่องจากใครๆ ก็ช่วยกันลุ่นให้ AMD ทำได้ทำสำเร็จเพื่อไม่ให้ Intel ครองตลาดอยู่แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม Athlon ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของชิปเซ็ตและเมนบอร์ดที่สนับสนุน เนื่องจากแต่เดิมจะต้องพึ่งพาอาศัยให้ผู้อื่นคือบริษัทในไต้หวันอย่างVIA และ SiS ผลิตให้ ทำให้ขาดแคลนและเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการทำตลาด (แถมยังมาเจอแจ็คพ็อตจากแผ่นดินไหวในไต้หวันเมื่อปลายปี พ.ศ. 2542อีก!) หรือไม่ก็ใช้ชิปเซ็ต AMD – 750 ของทาง AMD เอง แต่เมื่อซีพียูเริ่มได้รับความนิยมก็มีผู้เริ่มหันมาผลิตเครื่องและเมนบอร์ดโดยใช้ซีพียูรุ่นนี้ (Athlonจำเป็นต้องใช้เมนบอร์ดที่ทำมาสำหรับซีพียูรุ่นนี้โดยเฉพาะ จะใช้กับเมนบอร์ดSlot1 ทั่วไปไม่ได้ เนื่องจากมีโครงสร้างการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร แม้นจะใช้สล็อต ในลักษณะที่คล้ายกันกับ Slot1 ของIntel ก็ตาม แต่ก็ไม่เหมือน จึงตั้งชื่อเป็น Slot A ซึ่งมาจากแบบของชิป Alpha จาก Compaq/Digital ซึ่งทีมวิศวกรของAMD ได้ต้นแบบชิปมาจากชิปดังกล่าว

- AMD Athlon (thunderbird)
เป็นรุ่นที่ได้การพัฒนาจาก Athlon Classic (รุ่นแรก) ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 0.18 ไมครอนตัวชิปเป็นแบบ PGA โดยในรุ่นนี้ได้ลดแคชระดับ 2 ลงเหลือ 256 KB แต่อยู่บนซีพียูชิ้นเดียวกับตัวชิปที่เรียกกันว่า on die จึง มีความเร็วเทียบเท่าซีพียูโดยใช้กับเมนบอร์ดที่ใช้ Socket 462 หรือ Socket A แต่ยังคงใช้ระบบบัสแบบ EV6 ซึ่งสามารถทำงานทั้งขอบขาขึ้นและลงของสัญญาณนาฬิกาความถี่ 100 MHz จึงเสมือนว่าทำงานที่ระบบบัส200MHz เหมือนเดิม ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นโดยใช้สัญญาณนาฬิกาความถี่133 MHz จึงเสมือนว่าทำงานที่ระบบบัส 266MHz และสามารถสนับสนุนหน่วยความจำหลักแบบ DDR SDRAM ทั้งแบบ PC1600 และPC2100 ซึ่งทำให้มีประสิทธิ์ภาพสูงขึ้นมากกว่าเดิม 
- AMD Athlon4
แอธลอน4ตัวแรกที่เปิดตัวออกมาไม่ใช่รุ่นสำหรับเดสก์ทอปแต่กลับเป็นว่ากลายเป็นซีพียูสำหรับโน้ตบุ๊คโดยมี 4 รุ่นแรกที่วางตลาดนั้น จะที่ความเร็วตั้งแต่ 850 , 950 และ1 GHz ซึ่งทั้ง 4 รุ่นนั้นทำงานที่แรงดันไฟฟ้า 1.4 โวลต์ และทั้งหมดทำงานที่ FSB200 MHzโดยใช้หน่วยความจำแบบ DDR SDRAM สำหรับขนาดของแคชภายในตัว Athlon 4 ยังคงไม่แตกต่างไปจากเดิม โดยใน Athlon 4 นี้ ยังคงมี แคช L1 อยู่ 64 KB เหมือนเดิมส่วนแคช L2 ก็ยังคงมีขนาดเท่าเดิมคือ128 KB และยังคงมีคุณสมบัติเหมือนเดิมที่ว่าแคช L1และ L2 นั้นจะมีข้อมูลที่ไม่ซ้ำซ้อนกันนั้นหมายความว่าขนาดแคชโดยรวมของ Athlon 4 ก็คือ 384 KB
AMD AthlonMP
- Athlon MP นั้นจะมาพร้อมเทคโนโลยีชั้นนำมากมายอาทิเช่น Smart MP, สนับสนุนหน่วยความจำแบบDDR(Double Data Rate), Fully-Pipeline Superscalar Floating Point Engine เป็นต้นซึ่งจะทำให้สามารถสร้างงานที่มีประสิทธิภาพได้อย่างมาก สนับสนุนหน่วยความจำแบบ DDR (Double Data Rate) ระบบแคชความเร็วสูงแบบ Hardware Prefetch Exclusive L2 TLB (Translation Look-aside Buffer) ใน Athlon MPนั้นได้มีการออกแบบระบบแคชแบบใหม่โดยใช้ระบบแคชที่มีคุณสมบัติ Exclusive L2 TLB และ Data Prefetch ซึ่วจะทำให้ระบบข้อมูลส่งข้อมูลมายังโปรเซสเซอร์ก่อนที่จะมีการเรียกใช้งาน ดังนั้นจึงสามารถลดเวลาที่ใช้ในการค้นหาข้อมูล และเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลงานที่ทำได้ สนับสนุนคุณสมบัติECC (Error Correcting Code) ของ Advanced266 MHz Front Side Bus ใช้เทคโนโลยี 3DNow!(tm) Professional Athlon MP มีการเพิ่มคำสั่งใหม่เข้าไปถึง 52 คำสั่ง ทำให้แอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ปรับแต่งมาสำหรับเทคโนโลยี 3DNow!(tm) Professional สามารถเพิ่มในการประมวลผลงานต่างๆดีขึ้น ใช้ Fully-Pipeline Superscalar Floating Point Engine เป็นวิธีการประมวลผลเลขทศนิยม (x87 floating point engine ) ที่เร็วที่สุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณเลขทศนิยม ซึ่งจะทำให้คุณสามารถปรับปรุงคุณภาพการสร้างสรรค์งานทางด้านภาพเคลื่อนไหว ด้านการออกแบบ และด้านภาพเหมือนจริงได้โดยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ทำงานบนสถาปัตยกรรมของ Socket A และชิปเซตAMD-760 MP แพลตฟอร์มเพียงหนึ่งคำที่ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนทางด้านดูแลรักษาง่ายต่อการอัพเกรด และสนับสนุนการใช้งานอย่างกว้างขวางในส่วนของชิปเซต AMD-760MP ถือว่าเป็นหัวใจหลักของระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงแบบหน่วยประมวลผลคู่ อย่าง AMD Athlon MP ซึ่งใช้เทคโนโลยี Smart MP มันถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถของระบบบัส266 MHz สนับสนุนหน่วยความจำแบบ DDR และการ์ดแสดงผลแบบAGP-4X นอกกจากนี้ยังมีหน่วยควบคุมหน่วยความจำและ I/O อันชาญฉลาดอีกด้วย

- AMD AthlonXP 
คือซีพียู AthlonTM 4 ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ระดับเดสก์ทอปนั้นเองโดยที่มีการพัฒนาความถี่ใช้งานให้สูงขึ้น และที่มาของ AthlonTM XP คือการตั้งชื่อให้สอดคล้องกับระบบปฏิบัติการใหม่ของMicrosoft คือ Windows XP นั้นเองเพื่อผลทางการตลาดและจะเห็นได้ว่า AMD ได้มีวิธีการนำเสนอชื่อซีพียูแตกต่างออกไปจากปกตินิยม คือไม่ใช้ความถี่ของสัญญาณมาเป็นชื่อรุ่น ทั้งนี้ทั่งนั้นเพราะเหตุผลการตลาดอีกเพราะว่าถ้าเทียบกันเฉพาะความเร็วของสัญญาณนาฬิกา Athlon กับ Pentium 4 นั้น AMD เป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่ซีพียูของ AMD รุ่นนี้มุ่งเน้นที่ที่ประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดของตัวประมวลผล ในการทำงานแต่ละรอบสัญญาณนาฬิกาในการทำงาน มากกว่าที่จะเน้นการเพิ่มความถี่ของสัญญาณนาฬิกาในการทำงาน ซึ่งทาง AMD ได้คุยว่าถ้าเทียบสัญญาณนาฬิกาเดียวกันแล้ว Athlon XP จะเหนือกว่าPentium 4 ซึ่งจากการทดสอบจากหลายแห่งก็เป็นเช่นนั้น เหตุนี้ทาง AMD จึงตั้งชื่อ Athlon XP ซึ่งมีความถี่สัญญาณนาฬิกา 1.33 GHz ว่า Athlon XP 1500+ เพราะว่า มีประสิทธิภาพการทำงานไม่ด้อยกว่าPentium 4 1.5 GHz เช่นเดียวกับที่ตั้ง Athlon XPที่ทำงานความถี่ 1400 1467 1533 1600 MHz ว่า Athlon XP 1600+ 1700+ 1800+ 1900+ ตามลำดับ
-AMD Duron (Spitfire)
เป็นซีพียูใน K7 ของ AMD ที่พัฒนาต่อมาจาก Athlon (classic) แต่ผลิตออกมสำหรับตลาดละดับล่างเพื่อแข่งขันกับ ซีพียู Celeron ของ Intel โดยใช้ระบบบัส 200 MHz ซึ่งโครงสร้างจะเหมือนกับAthlon(thunderbirds) และมีชุดคำสั่ง MMX และ 3DNow! ทำให้มีประสิทธิภาพในการประมวลผลด้านสามมิติ และใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ 0.18 ไมครอน มีหน่วยความจำแคชระดับ 1 จำนวน 128KB แต่ได้มีการลดหน่วยความจำแคชระดับ 2 ซึ่งอยู่บนตัวชิป on die เหลือเพียง 64 KB เท่านั้น เพื่อไม่ให้แย่งตลาดของ Athlon (thunderbirds) และยังใช้กับเมนบอร์ด Socket A แต่เมื่อเทียบประสิทธิภาพและราคาแล้วหน้าใช้กว่า Celeron ของ Intel เหลืออาจกล่าวได้ว่าใกล้เคียงPentium III เลยที่เดียว
- AMD DURON (Morgan)
DURON (Morgan) เป็นการพัฒนามาจาก DURON (Spitfire)เดิมโดยได้เปลี่ยน Core ที่ออกแบบมาใหม่ โดยได้เพิ่มความสามารถใหม่ดังนี้
การสิ้นเปลืองพลังงานและความร้อนที่ลดลง
 คุณสมบัติใหม่ภายใต้สถาปัตยกรรมใหม่ทีได้ถูกปรับปรุงขึ้นเป็นการประหยัดพลังงานจึงสามารถที่จะลดความร้อนของซีพียูลงได้ถึง 20% เลยที่ดียวเมื่อเทียบกับDURON รุ่นเก่า และแรงดันจะลดลงโดยอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ถูกใช้งาน
- Data Prefectch
 ทั้ง Palomino และ Morgan ได้รวมเอาความสามารถในการคาดคะเนชุดคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของฮาร์ดแวร์ที่จะต้องถูกประมวลผลมาเก็บไว้ในแคช โดยปกติแล้วชุดคำสั่งเหล่านี้จะถูกเรียกใช้จากหน่วยความจำหลักเมื่อไม่พบข้อมูลในหน่วยความจำแคชดังนั้น หลักการจึงมีอยู่ว่าให้ไปดึงชุดคำสั่งที่คาดว่าจะถูกเรียกใช้ให้ถูกโหลดเข่ามาในแคชก่อน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์ให้ทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น
- 3DNow! Professional
 ทาง AMD ได้มีการผนวกชุดคำสั่ง 3DNow! Professional ด้วยการเพิ่มชุดคำสั่งอีก52 คำสั่ง อีกทั้ง DURON (Morgan) ยังสนับสนุนการทำงานกับชุดคำสั่ง SSE ซึ่งเทียบเท่ากับชุดคำสั่งของSEE ของ Pentium III นั้นเอง

- Future AMD
Duron (Morgan) จะเพิ่มขนาดของ FSB เป็น 266 - Athlon จะเป็นเทคโนโลยีมาผลิตที่ 0.13 ไมครอนแทน0.18 ไมครอน ใน Athlon(Palomino) โดยใช้ชื่อว่า Athlon (Thoroughbred) และผนวกกับเทคโนโลยีPowerNow! 2 และหน่วนความจำแคชระดับสองเพิ่มขึ้นเป็น 512 KB - AMD Clawhammer และSledgehammer Clawhammer เป็น ซีพียู 64 BIT ตัวแรกที่พัฒนาจากตระกูล Athlon เดิมซึ่งClawhammerและ Sledgehammer จะมีชุดคำสั่ง 64 บิต เพิ่มเข้ามาโดยใช้เทคโนโลยี 0.13 ไมครอน โดยเป็นเทคโนโลยีเดียวกับ Thoroughbred core อีกทั้งยังสนับสนุน SSE II อีกด้วย แม้ว่าจะยังคงใช้Socket A เป็นอินเทอร์เฟซ แต่ระบบบัสถูกเปลี่ยนจาก EV6 ไปเป็น NUMA Bus Protocol ที่จะทำให้การใช้งานซีพียู พร้อมกันได้ถึง 8ตัวหรือมากกว่า สามารถใช้ Bandwidth ของระบบบัสได้อย่างเต็มที่พร้อมๆ กัน ซึ่งจะรองรับการทำงานแบบ Multi Processor ในอนาคตได้อย่างดีส่วนของหน่วยความจำแคชระดับ 2 ที่คาดว่าจะถูกเพิ่มขึ้นนั้นClawhammer จะมีแคชระดับ 2 จำนวน 512 KB ซึ่งแตกต่างจาก Sledgehammer จะมีแคชระดับ 2 เพิ่มมากถึง1MB เลยทีเดียว ในซีพียู Athlon หรือ Duron นั้นมีความยาว pipeline เพียงแค่10 pipeline แต่ในClawhammer นั้นทาง AMD จะเพิ่มจำนวน pipelineให้เป็น 12 pipelineเป็นผลให้ความเร็วที่ใช้ในการประมวลผลชุดคำสั่งของซีพียูนั้นเพิ่มขึ้นด้วย
 การเข้าครอบครองกิจการ ATI
ในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 บริษัทเอเอ็มดีได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัทเอทีไอ (A Ti) ผู้ผลิตชิปการ์ดเร่งแสดงผล จำนวน 57 ล้านหุ้น ด้วยเงิน4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2549 บริษัทเอทีไอได้ถูกซื้อด้วยจำนวนเงินทั้งสิ้น 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขณะนี้เอทีไอได้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเอเอ็มดีแล้ว
แหล่งที่มาhttps://com6.jimdo.com/

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

น.ส. ณัฐวดี มีเบ้า ม.5/1 เลชที่ 34

วิชาคอมพิวเตอร์ ม.4/1